ขันโตกดินเนอร์ (Khantoke Dinner) 1 วัน (N01410)
ขันโตกดินเนอร์ (Khantoke Dinner)
สัมผัสวัฒนธรรม ขันโตกล้านนาแบบบุฟเฟ่ต์ ที่คุ้มขันโตก หรือ
ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่
กำหนดการเดินทาง : ลูกค้าสามารถระบุวันเดินทางได้ค่ะ
เดินทางได้ตั้งแต่ 2 ท่านขึ้นไปค่ะ
18.45 น. รถรับที่โรงแรมในตัวเมืองเชียงใหม่
19.00 น. ร่วมรับประทานอาหารแบบขันโตก ขันโตกดินเนอร์
21.30 น. กลับที่พัก
สัมผัสวัฒนธรรม ขันโตกล้านนาแบบบุฟเฟ่ต์ เสิร์ฟกันแบบจุใจเรียกว่าเติมแบบไม่อั้นจริง
ๆ
เริ่มด้วยอาหารเรียกน้ำย่อยอย่าง กล้วยทอด ที่ใช้กล้วยน้ำว้าสุกกำลังดี
ทอดจนกรอบนอกนุ่มใน รสชาติหวานมันกำลังดี พร้อมด้วยซุปใสร้อน ๆ รสชาติกลมกล่อม
มาที่เมนูอาหารในขันโตกกันบ้าง เริ่มด้วย แกงฮังเลหมู นึกถึงอาหารเหนือทีไรพลาดไม่ได้กับเมนูนี้
หมูชิ้นใหญ่ เนื้อนุ่ม ผสมผสานเครื่องแกงฮังเลแบบเข้มข้น ไม่ลองแล้วจะเสียใจ
ต่อกันที่ของขึ้นชื่ออีกอย่างที่ดังไม่แพ้กัน กับน้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง
พร้อมผักลวกหลากหลายชนิด รสชาติกลาง ๆ ไม่เผ็ดมาก
ทานคู่กับแคปหมูก็อร่อยแถมเข้ากันดี
จานต่อไปเป็นไก่ทอด ชิ้นพอดีคำกรอบนอกเนื้อในนุ่ม
ๆ ถัดมาเป็นผัดผักรวม และหมี่กรอบ รสชาติอร่อย จะเลือกทานกับข้าวเหนียวหรือข้าวสวยก็แล้วแต่ความชอบ
ซึ่งอาหารทุกอย่างในโตกหมดแล้วสามารถเติมได้ตลอด เรียกได้ว่ากินกันจนเหนื่อย
อิ่มจากของคาวก็ต้องปิดท้ายด้วยของ หวานล้างปาก กันซักหน่อย มีทั้ง ข้าวแต๋น หวานกรอบ อร่อย หรือจะเป็นผลไม้สดตามฤดูกาล
ตบท้ายด้วย กาแฟหรือชา
อิ่มจนลุกแทบไม่ขึ้นนอกจากจะอิ่มท้องด้วยอาหารแล้วยังมีอาหารตาเคล้าคลอด้วย
1.คุ้มขันโตก
ขึ้นชื่อว่าเป็นร้านอาหารไทยแบบล้านนาแท้ ๆ
ของเมืองเชียงใหม่ภายนอกสวยงามสะอาดตา พื้นที่รอบ ๆ กว้างขวาง บรรยากาศภายในตกแต่งอย่างสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมของชาวเหนือ
ผสมผสานกับบรรยากาศพื้นบ้านล้านนา ทั้งงานศิลปะและงานฝีมือต่าง ๆ
ที่วิจิตรบรรจงอย่างสวยงาม อันเป็นเอกลักษณ์ของคนเมือง แท้ๆ ร่มรื่นด้วยร่มเงาของต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นเรียงราย
นอกจากนั้นยังจำลองตลาดขายสินค้าพื้นเมือง เพื่อให้ท่านได้เลือกซื้อสินค้าของที่ระลึก
ประทับใจด้วยการรำแบบไทย ๆ พร้อมขบวนกลองยาว รอต้อนรับแขกที่มาเยือนด้านหน้า
นั่งรับประทานอาหารที่บริเวณข่วงคนเมือง ซึ่งเป็นภัตตาคารกลางแจ้งในสวนที่สวยงาม
นำทุกท่านย้อนสู่ บรรยากาศของหมู่บ้านไทยทางภาคเหนือ บรรยากาศตกแต่งแบบล้านนาแท้ ๆ
ด้วยลวดลายที่วิจิตรสวยงาม และศิลปะการแสดงพื้นบ้านของชาวล้านนาการแสดง
ประสบการณ์แห่งล้านนา...ที่คุณต้องมาสัมผัส
- ขบวนแห่บูรณคตะบูชาสโตกคำและฟ้อนเล็บถือเป็นการแสดงการต้อนรับผู้มาเยือน
ด้วยความเป็นมิตร และยินดียิ่ง
- นกกิงกะลากับตัวโตเป็นศิลปะการร่ายรำของชาวไทยใหญ่
แสดงถึงเรื่องราวของสัตว์ที่เล่าขานมาแต่โบราณ
- กลองสะบัดชัยเป็นการแสดงเพื่อเสริมสร้างกำลังใจ
ให้แก่ไพร่พลในยามมีศึกสงคราม ด้วยลีลาการตีที่โลดโผน
- เจ้าดารารัศมี เพลงที่ใช้ประกอบการแสดงชุดนี้เป็นการรำลึกถึงพระราชชายาเเจ้าดารารัศมี
ที่ทรงเป็นขัตติยนารีศรีล้านนาและทรงเป็นแบบอย่างในเรื่องการอนุรักษ์วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมอันดีงามของล้านนา
- หนุมานจับนางสุพรรณมัจฉา หรือ
จับนางเป็นการแสดงโขน ซึ่งถือเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูง แต่เดิมนิยมเล่นเฉพาะ
ในพระราชวังเท่านั้น โดยมีหนุมานเป็นตัวละครเอกในเรื่องรามเกียรติ์
ได้รับอิทธิพลมาจากวรรณกรรมของอินเดีย เรื่อง “รามายณะ”
- ระบำชาวเขา 4 เผ่าดัดแปลงมาจากการละเล่นในวันปีใหม่ของชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ได้แก่ ลีซอ เย้า อาข่า และแม้วมีลีลาที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา และความสุขสดใส ของชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในพื้นดินล้านนา
- นาฏยรณสยามเป็นการแสดงที่แสดงให้เห็นถึงศิลปะการต่อสู้ของชาวไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณและมีการสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
- เซิ้งกะโป๋ คำว่า กะโป๋ หมายถึง กะลา ในภาษาอีสาน
เซิ้งกะโป๋ เป็นการหยอกล้อกันระหว่างคนหนุ่มสาว โดยใช้กะลาเป็นเครื่องประกอบจังหวะ
ด้วยลีลาที่สนุกสนานและเร้าใจ
- รำวงมีขึ้นในชนบทภาคกลาง ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีพิธีการที่ซับซ้อน แต่ฉาบไว้ด้วยเอกลักษณ์ที่บริสุทธิ์
แจ่มใสของความเป็นท้องถิ่น
1.ฟ้อนเล็บ เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวลานนาไทย
ซึ่งมักจะแสดงในโอกาสพิเศษเพื่อต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ หรือฟ้อนสมโภชในทางพุทธศาสนาท่าเดินของฟ้อนเล็บนี้ถือกันว่าได้เลียนแบบมาจากการเยื้องย่างของช้าง
ซึ่งในโบราณถือว่าเป็นสัตว์ชั้นสูงมีคุณค่ามากแต่เดิมการฟ้อนเล็บนี้ไม่มีท่ารำเฉพาะแน่นอน
พระราชชายาเจ้าดารารัศมี (ณ เชียงใหม่) ในรัชการที่ 5 (พ.ศ. 2416-2476) ได้ทรงโปรดปรับปรุงแก้ไขให้สวยงามและมีท่ารำเฉพาะแน่นอน
2. ฟ้อนดาบ เป็นการแสดงศิลปะอย่างหนึ่งที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ป้องกันตัว
เป็นการแสดงชั้นเชิงของการต่อสู้รวมกับท่าฟ้อนที่สวยงาม
3. ฟ้อนสาวไหม เป็นการฟ้อนพื้นเมืองที่เลียนแบบมาจากการทอผ้าไหมของชาวบ้าน
การฟ้อนสาวไหมเป็นการฟ้อนรำแบบเก่า เป็นท่าหนึ่งของฟ้อนเจิงซึ่งอยู่ในชุดเดียวกับการฟ้อนดาบ
ลีลาการฟ้อนเป็นจังหวะที่คล่องแคล่วและรวดเร็ว (สะดุดเป็นช่วง ๆ เหมือนการทอผ้าด้วยกี่กระตุก) ประมาณปี
พ.ศ. 2500 คุณบัวเรียว รัตนมณีกรณ์ ได้คิดท่ารำขึ้นมา โดยอยู่ภายใต้การแนะนำของบิดา
ท่ารำนี้ได้เน้นถึงการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องและนุ่มนวล ซึ่งเป็นท่าที่เหมาะสมในการป้องกันไม่ให้เส้นไหมพันกัน
ในปี พ.ศ. 2507 คุณพลอยศรี สรรพศรี ช่างฟ้อนเก่าในวังของเจ้าเชียงใหม่องค์สุดท้าย
(เจ้าแก้วนวรัฐ) ได้ร่วมกับคุณบัวเรียวขัดเกลาท่ารำขึ้นใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2520 คณะอาจารย์วิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่
ได้คิดท่ารำขึ้นมาเป็นแบบฉบับของวิทยาลัยเอง การฟ้อนของทางศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่เป็นการรวบรวมท่ารำที่สวยงามของทั้งสองฝ่ายเข้าด้วยกัน
4. ระบำไก่ เป็นระบำชุดหนึ่งจากละครเรื่องพระลอตามไก่
เป็นการร่ายรำของบริวารของไก่แก้ว พระราชชายาได้ทรงคิดท่ารำขึ้นเนื่องในโอกาสฉลองกู่
(ที่บรรจุอัฐิ) ของเจ้านายเมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2452
ที่ท่านทรงนำมารวบรวมไว้ที่วัดสวนดอก จากงานพระนิพนธ์ของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนรา-ธิปประพันธ์พงศ์ที่ รัชกาลที่ 5 ทรงประทานให้แก่ท่าน เรื่องพระลอนี้เป็นเรื่องทางลานนา
เชื่อกันว่ามีเค้าโครงจากเรื่องจริง ซึ่งเกิดขึ้นในราวปี พ.ศ. 1629-1693 ระหว่างเมืองสองเมือง
เมืองของพระลอกับเมืองของพระเพื่อนพระแพงสันนิษฐานว่าอยู่ในตอนเหนือของจังหวัดลำปางและจังหวัดแพร่ในปัจจุบันตามลำดับ
ผู้เล่าเรื่องดั้งเดิมเป็นคนเมืองแพร่
เพราะเรื่องพระลอไม่ได้แพร่หลายในลานนาตะวันตก และเพราะว่าในสมัยโบราณแพร่ติดต่อกับกรุงศรีอยุธยามากกว่าติดต่อกับลานนาตะวันตกจึงทำให้เรื่องพระลอถูกเขียนขึ้นเป็นครั้งแรกโดยกวีกรุงศรีอยุธยาในลักษณะลิลิตระหว่างพ.ศ.1991-2076
5. ฟ้อนเงี้ยว เป็นการฟ้อนของเมืองเหนือ
ที่ได้ดัดแปลงมาจากการละเล่นของไทยใหญ่ (เงี้ยว) ต่อมาครูช่างฟ้อนในคุ้มหลวงเชียงใหม่ได้ปรับปรุงแก้ไขให้สวยงามขึ้น
การแต่งกายสำหรับผู้ฟ้อนนิยมเป็น 2 แบบ แบบไทยใหญ่ใช้กางเกงเป้ากว้าง และแบบพม่าใช้ผ้าโสร่ง
จะใส่ลอยชายหรือโจงกระเบนก็ได้
6. ระบำซอ ได้ถูกแต่งและประดิษฐ์จากครูเพลง
และครูช่างฟ้อนในวังของเจ้าดารารัศมีในปี พ.ศ. 2470 ใช้ฟ้อนในโอกาสที่ถวายต้อนรับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
(พ.ศ. 2468-2478) เสด็จประพาสเชียงใหม่
และในโอกาสสมโภชน์ช้างเผือกซึ่งน้อมเกล้าฯถวายให้ท่าน การแต่งกายเป็นชุดกระเหรี่ยง
7. ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา เป็นการฟ้อนผสมระหว่างการฟ้อนในราชสำนักพม่าและรำไทยพระราชชายาเจ้าดารารัศมีได้ทรงให้ครูช่างฟ้อนชาวพม่าและครูช่างฟ้อนในวังของท่านคิดท่ารำขึ้นมาระหว่างปี
พ.ศ. 2458-2469 เครื่องแต่งกายเป็นแบบหญิงในราชสำนักพม่าสมัยพระเจ้าสีป้อ(พ.ศ.2421-2428)กษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่า
8. ฟ้อนลื้อ การฟ้อนนี้เดิมเป็นการฟ้อนของชาวไทยลื้อ
หมู่บ้านหนองบัว อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน บรรพบุรุษของชาวไทยลื้อนี้เดิมเป็นพวกอพยพสงครามจากแคว้นสิบสองปันนาในมณฑลยูนานของจีน
ชาวไทยลื้อเหล่านี้หลบหนีการต่อสู้ระหว่างพระเจ้าสิบสองปันนาและหลานชายซึ่งสู้รบกันในระหว่างปี
พ.ศ.2365-2366
แตกต่างจากบรรพบุรุษของชาวไทยลื้อกลุ่มอื่นในทางตอนเหนือของประเทศไทยซึ่งอพยพมาก่อนหน้านี้
ประมาณ 22 ปี ในฐานะเชลยสงครามบางพวกก็ถูกชักชวนให้มาตั้งถิ่นฐานใหม่
9. ฟ้อนโยคีถวายไฟ เจ้าแก้วนวรัฐ
(พ.ศ. 2454-2482) เจ้าครองเมืองเชียงใหม่องค์สุดท้าย
ได้ทรงให้นักดนตรีในวังของท่านและครูช่างฟ้อนชาวพม่าร่วมกันคิดท่ารำและบทเพลงขึ้นมา
ในโอกาสเสด็จประพาสเชียงใหม่ของกรมพระนครสวรรค์วรพินิจ
โอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2465
ท่ารำได้ดัดแปลงมาจากท่าฤษีดัดตน เดิมเป็นการแสดงของผู้ชายและในปี พ.ศ. 2477 ได้เปลี่ยนให้เป็นท่ารำของผู้หญิงเนื่องจากช่างฟ้อนผู้ชายหายาก
10. ฟ้อนน้อยใจยา เป็นฉากหนึ่งของละครเพลงชื่อเดียวกัน
ได้แต่งขึ้นในปี พ.ศ. 2464 โดยท้าวสุนทรโวหาร
คนเขียนหนังสือของอนุชาเจ้าดารารัศมี
และถวายแก่เจ้าดารารัศมีในวันเกิดของท่าน ต่อมาเจ้าดารารัศมี ได้ขัดเกลาบางตอนของละครและแต่งเพลงน้อยใจยาขึ้น
ฉากนี้แสดงถึงน้อยใจยาชายหนุ่มผู้ยากจนได้ตัดพ้อ ต่อว่าแว่นแก้วสาวงามแห่งหมู่บ้าน
ซึ่งจะแต่งงานกับส่างนันตาชายหนุ่มผู้ร่ำรวยแต่หน้าตาอัปลัษณ์ของอีกหมู่บ้านหนึ่ง แว่นแก้วบอกน้อยใจยาว่าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอ
แต่เป็นความเห็นชอบของบิดามารดา และได้ยืนยันความรักของเธอที่มีต่อเขา
หลังจากปรับความเข้าใจกันแล้วก็พากันหนีไป
11. ฟ้อนเทียน ใช้ฟ้อนในเวลากลางคืน
ไม่สวมเล็บ แต่ถือเทียนสองข้างประกอบการฟ้อน พระราชชายาฯได้ทรงปรับปรุงขึ้นจากการฟ้อนเล็บ
เพื่อจะฟ้อนรับเสด็จรัชกาลที่ 7 ในคราวเสด็จประภาสเชียงใหม่พ.ศ.2469
12. ฟ้อนไต ไตคือชื่อที่คนไทยใหญ่เรียกตัวเอง
คนไทยใหญ่นี้นอกจากจะอาศัยอยู่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์
แล้วยังอาศัยอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนด้วย ฟ้อนไตได้ถูกคิดท่ารำโดยครูแก้วและนางละหยิ่น
ทองเขียวผู้เป็นภรรยา ผู้ซึ่งเป็นคนไทยใหญ่ด้วย โดยในระหว่าง พ.ศ. 2483-97 ขณะที่
นางละหยิ่นได้อาศัยที่เชียงใหม่กับครูแก้ว
นางได้เห็นการแสดงฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตาและได้ประทับใจมาก
เมื่อนางกับครูแก้วกลังไปอยู่แม่ฮ่องสอนแล้ว
จึงได้คิดท่ารำของฟ้อนไตขึ้นจากท่ารำของรำไทย
พม่า และฟ้อนเชียงใหม่ ในปีพ.ศ.2500
13.รำวง เกิดจากรำโทนของนครพนมและได้แพร่หลายไปยังภาคอื่น
ๆ ของประเทศไทย ต่อมาจอมพล
ป.พิบูลสงครามได้มีคำสั่งให้กรมศิล์ปากรจัดท่ารำเป็นรำวงมาตรฐานขึ้น
***
ขอบพระคุณท่านที่ใช้บริการค่ะ ***
***
โปรแกรมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม ***
อัตราค่าบริการ : กรุณาสอบถาม
ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เดินทาง
อัตรานี้รวม
- อาหารขันโตก (เติมได้) + น้ำเปล่า
- ค่าธรรมเนียมสถานที่ท่องเที่ยว
ตามที่ระบุไว้ในโปรแกรม
- รถรับส่งตลอดรายการ
- ค่าประกันอุบัติเหตุ ระหว่างเดินทาง 1,000,000 บาท
อัตรานี้ไม่รวม
- โรงแรมและที่พัก
- ค่าตั๋วเครื่องบิน
- ค่าใช้จ่ายส่วนตัวนอกเหนือจากรายการ
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
และภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3%
หมายเหตุ
- ราคานี้เดินทางได้ตั้งแต่ 2 ท่านขึ้นไป
- ราคานี้เดินทางแบบ
Private Tour
- สามารถปรับเปลี่ยนโปรแกรมได้ตามความเหมาะสม
เงื่อนไขการชำระเงิน
- มัดจำ 50 %
ล่วงหน้าเพื่อเป็นการยืนยันการจอง
- ชำระส่วนที่เหลือ 10 วัน
ก่อนออกทัวร์